

อย่างไรก็ตาม เส้นทางชีวิตนางแบบของเธอนั่นแหละคือจุดที่น่าสนใจ เพราะไม่ใช่ว่าเธอเดินมาโดยกลีบกุหลาบโปรยตลอดทาง แต่ต้องผ่านอะไรมามากมายพอสมควร

เริ่มตั้งแต่สมัยที่มีมี่อายุ 12 ปี ช่วงนั้นครอบครัวของเธอมีปัญหาทางการเงิน ทำให้ต้องส่งเธอไปบวชเรียน ฉะนั้นแล้ว จากชีวิตประจำวันแบบปุถุชนทั่วไป มีมี่จึงต้องย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในรั้ววัดวาอารามแทน ศึกษาหลักธรรมความรู้ต่างๆ ปฏิบัติตนตามวินัยศาสนา เป็นเช่นนี้เรื่อยมานานถึง 6 ปี


แต่ในระยะเวลา 6 ปีนั้นเอง ที่มีมี่เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลในตัวเอง โดยมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศมากขึ้น ชอบคิดชอบทำเหมือนผู้หญิง

"ตอนนั้นฉันก็เริ่มทำตัวเหมือนผู้หญิง มีความสนใจแบบผู้หญิง เช่นเรื่องแต่งหน้าแต่งตัว" มีมี่เล่า ก่อนจะเสริมว่า แม้จะรู้อย่างนั้นแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังบวชและถือศีลต่อไป

ทว่าพอเวลาผ่านไป ความเบี่ยงเบนของมีมี่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นแอบไปพบกับเพื่อน 4 คน เล่นแต่งหน้าเล่นกันบ้าง ทำตัวฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งเหมือนผู้หญิง และที่หนักที่สุดคือถึงขั้นไปเอายามากินเพื่อหวังจำเพิ่มขนาดหน้าอกให้โตเหมือนผู้หญิง แต่มีมี่ถูกแม่จับได้เสียก่อน และขู่ว่าจะไม่เลี้ยงดูถ้าหากว่าไม่เลิกเล่นพิเรนทร์

อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณที่อยากเป็นหญิงของมีมี่ยังคงคุกรุ่น เธอตัดสินใจลาสึกจากการเป็นสามเณร มาใช้ชีวิตอย่างที่เธอต้องการ ทำงานหาเงินใช้หนี้ให้แม่

มีมี่เริ่มต้นด้วยการทำงานในคาบาเร่ต์หลายๆแห่ง จนกระทั่งได้รู้จักนางกับแบบคนหนึ่งชื่อ ยุ้ย เพชรกัณหา ผู้ที่ทำให้เธอเกิดแรงบันดาลใจขนานใหญ่ และชักชวนเธอเข้าสู่วงการแฟชั่น

และหลังจากนั้นยุ้ยก็กลายมาเป็นบรมครูของมีมี่ พร่ำสอนเคล็ดลับการเดินแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ท่า การเดินที่ถูกวิธี หรือการหาแสงบนแคทวอล์คให้ถูกจุด

เหมือนว่าความฝันของมีมี่จะไปได้สวย แต่ในอีกมุมหนึ่ง เธอต้องเผชิญกับคำดูถูกจากหลายๆคนในสังคมที่ไม่ยอมรับบุคคลเพศที่สามด้วยเช่นกัน

จนกระทั่งเหมือนมีมี่จะเริ่มสั่นคลอนแล้วว่า บางทีเส้นทางนางแบบอาจไม่ใช่ความฝันที่แท้จริงของเธอก็ได้ และว่าสักวันหนึ่ง เธออาจจะกลับไปบวชอีกเพื่อใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของธรรมะ
http://www.khaosod.co.th
0 comments:
Post a Comment